About

นานแล้วเหมือนกัน ที่ทำเว็บ blog นี้มา แล้วไม่ได้ update หน้า about us นี้เลย ทำให้ข้อมูลที่เคยเป็นปัจจุบัน กลายเป็นอดิตที่ผ่านมาแล้วนานพอสมควร ก็ได้เวลาที่จะต้อง update กันให้มีความเป็นปัจจุบันเหมือนเดิม อย่างที่ควรจะเป็น

การได้ท่องเที่ยวบ้าง พักผ่อนบ้าง ถือเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่พึงจะหามาใส่ตัว ใส่ใจกันได้ หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการงานมาเป็นเวลานานๆ ครั้นจะไปเที่ยวเฉยๆ เก็บความสุขได้นิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็ดูจะไม่ค่อยจะพอดีและลงตัวกับค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในแต่ละทริป จึงคิดที่จะขอเสริมเติมเต็มด้วยการถ่ายภาพ บันทึกภาพช่วงเวลาสุข เวลาสนุกที่ได้ไปเที่ยวมา รวบรวมเก็บไว้เป็นบทความใน blog เพื่อจุดประสงค์ไว้ดูย้อนรำลึกไดด้วย เพราะถ้าวันนึงข้างหน้า หากอยากจะย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เก่าๆ ที่ผ่านมา ได้ไปเที่ยวโน่นนั่นนี่มานั้น ก็จะได้มองเห็นได้ด้วยภาพถ่าย ด้วยเหตุการณ์ที่ได้บันทึกเอาไว้ผ่านทางตัวอักษรจำนวนมากมาย หลายร้อยบรรทัด แม้ว่าบทความ หรือสถานที่ที่ผ่านมา และได้ไปเยี่ยมชมมานั้น จะไม่ได้ดูเด่น ดูงามถูกอกถูกใจใครหลายๆ คน แม้แต่ตลาดสดก็ยังมีเก็บเป็นภาพถ่ายเอาไว้ แต่สำหรับผมแล้ว มันก็คือเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้ไปเที่ยว ไปเยี่ยมเยียนที่แห่งนั้นมา ด้วยความสุข และอารมณ์ผ่อนคลาย “ความสุขของผม ความสุขที่ได้เที่ยว และร่วมแบ่งปัน” มันอาจจะไม่ใช่ภาพที่สวยที่สุด มันอาจจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่ดีที่สุด ที่สมบูรณ์ที่สุด แต่มันคือเหตุการณ์ที่ผมมีความสุขที่สุด ก็เท่านั้น

ด้วยความเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพ เป็นความชอบที่ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่า เกิดขึ้นตอนไหนอย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เกิดตั้งแต่สมัยที่ยังใช้กล้องฟิล์ม compact ของพ่อ รู้สึกตัวเองว่า เห็นภาพสวยๆ แล้วอยากถ่ายภาพให้สวยๆ อย่างที่เห็นนั้นบ้าง ก็ลองถ่ายไปเรื่อยๆ ด้วยความมั่วๆ ฟิล์ม 1 ม้วน 2 ม้วน หรือ 3 ม้วนที่ถ่ายไป หากในการออกทริปนั้นกล้องได้มาอยู่ในมือ แล้วล่ะก็ ภาพที่ได้ ต้องมีภาพบันทึกเหตุการณ์หรือสถานที่ ในแบบที่ไม่มีแม้แต่เงาของคนในครอบครัว หรือผู้ร่วมเดินทาง จนพ่อมักจะบอกว่า “ถ่ายอะไรสะเปะสะปะ ถ่ายคนสิ เปลืองฟิล์มไหมล่ะเนี่ย” พ่อก็แค่พูดไปแบบนั้น แต่ก็เปิดโอกาสให้ได้ลองจนกระทั่งฟิล์มหมดม้วนนั่นแหละไม่ได้ว่าอะไรมากมายจนเป็นการบั่นทอนกำลังใจ อีกทั้งโอกาสในการถ่ายภาพก็มีไม่มากหรอก แค่นานๆ ครั้งที่ได้ท่องเที่ยวเท่านั้นเอง ค่าฟิลม์และค่าล้างอัดภาพก็เป็นอีกตัวการหนึ่งเหมือนกันที่ทำให้การถ่ายภาพแบบมั่วๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรลองกันบ่อยๆ แล้วการถ่ายภาพแบบสะเปะสะปะของผมในตอนนั้นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเชี่ยวชาญชำนาญอะไรขึ้นมาเลยจริงๆ

เมื่อเวลาผ่านไปนานโข จนเริ่มโตขึ้น มีงานทำ มีเงินใช้จ่ายบ้างแต่พอตัว ก็เลยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของกล้องดิจิตอลครั้งแรก ด้วยความตั้งใจว่า จะไม่ขอจับกล้อง compact แน่ๆ กล้องตัวแรกที่ได้มา จึงเป็นกล้องแบบ DSLR like ในรุ่นของ Fuji S9500 ซึ่งในครั้งนั้น เงินที่พอมีพอเก็บมันลงตัวแบบเต็มๆ อีกทั้งยังคิดว่า กล้องรุ่นนี้ยังไงก็เอาอยู่ ตอบสนองความต้องการได้ครบหมดอยู่แล้วล่ะ ไม่ต้องขวนขวายหากล้องรุ่นใหญ่กว่านั้น และแพงกว่านั้น ช่วงซูมครอบคลุมได้สุดๆ แบบเหลือๆ ภาพใน blog นี้ ช่วงแรกๆ จึงเป็นภาพที่ถ่ายด้วย กล้องตัวนี้ เสียทั้งหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไปๆ จึงค่อยๆ ได้เรียนรู้มากขึ้น (แค่มากขึ้นนะ ยังไม่ถึงกับชำนาญ) ก็ค่อยได้พบกับข้อจำกัดของกล้องแบบนี้ จนในที่สุดแล้ว ก็ต้องไปถอยกล้อง DSLR มาใช้แบบจริงๆ จังๆ ภาพในชุดถัดๆ มาจังเป็นภาพที่ได้จากกล้อง DSLR Nikon D90 เสียเกือบหมดจนมาถึงปัจจุบันนี้ ที่บอกว่าเกือบทั้งหมดเพราะว่า ตั้งแต่พ่อเสียไป กล้อง Compact ตัวน้อยที่พ่อชอบพกพาเวลาไปเที่ยว ก็ตกมาอยู่ในมือผม ก็มีการนำมาใช้งานบ้าง เป็นพักๆ จึงทำให้มีผสมปนเปกันไปอยู่เหมือนกัน แล้วแยกแยะกันออกไหม ว่าภาพชุดไหน ผมถ่ายจากกล้องอะไรมา ถ้าหากไม่บอกให้รู้

ผมจะบอกว่า ภาพถ่ายที่ได้จากกล้องแต่ละตัวนั้น แม้ว่าจะรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเล็กก็ตาม หากนำมาย่อ ขนาดภาพให้เล็กๆ แล้วโชว์ในเว็บแบบนี้แล้วล่ะก็ แยกแยะกันไม่ค่อยจะออกหรอกครับ ถ้าเป็นการถ่ายภาพวิว การท่องเที่ยวแล้วล่ะก็ ในบางกรณีถ้าไม่บอกก็เดายาก แต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพบุคคล อันนั้นต้องยอมรับว่า แนวนี้จะเป็นหน้าชัดหลังเบลอทั้งนั้นซึ่ง ถ้าจับกล้อง Compact มาถ่าย ก็แยกแยะออกได้ไม่ยากแน่นอน อีกทั้งเดี๋ยวนี้โปรแกรมแต่งภาพทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ภาพบางภาพได้มาจากกล้องตัวเล็กๆ แต่แต่งภาพมานึกว่ามาจากกล้องใหญ่เสียอีก

บทความที่อยู่ในเว็บ Blog ของผมนั้น แม้ว่า ก่อนหน้านั้น ไม่ได้ทำ Blog เป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้หรอก เพียงแค่นำไปฝากไว้กับ เว็บที่ให้บริการแนว Gallery ภาพ อย่าง Multiply แต่เมื่อเวลาผ่านไปๆ คนใช้งานเว็บแบบนี้ก็น้อยลงๆ เรื่อยๆ เหมือนเป็นวัฎจักรของเทคโนโลยี และข่าวล่าสุดเหมือนจะเริ่มปิดตัวลงแล้วเหมือนกัน เรื่องวัฎจักรแบบนี้ก็คงจะเหมือน Hi5 และอีกหลายตัวอย่างที่มีขึ้นก็มีลง จึงคิดว่า “การยืมจมูกคนอื่นหายใจ คงไม่ดี ไม่ยั่งยืนแน่ๆ ถ้าคนๆนั้นตายไป เราก็จะตายไปด้วย” ก็เลยจำเป็นที่จะต้องทำ blog ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อใช้จมูกตัวเองหายใจให้เป็น เพราะการย้ายข้อมูล จากที่นึง ไปอีกที่นึง นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน ยิ่งถ้าเราต้องย้ายออกจากระบบปิดที่ให้เราไปฝากภาพ ฝากบทความไว้แล้วล่ะก็ ต้องค่อยๆ copy ทั้งภาพและข้อความกันทีละบทๆ เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่งานที่ง่าย และสนุกเลย หากใครเขียนบทความฝากไว้ที่ใด ก็ลองคิดพิจารณากันดูแล้วกันนะครับ

88foto.com
info[at]88foto.com